(๓) พระสุวรรณสาม (๘) พระนารทดาบส
 
 
(๑) พระเตมีย์ชาดก.
 
     พระราชา พระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า พระเจ้ากาสิกราช ครองเมืองชื่อว่าพาราณสี มีพระมเหสีพระนามว่า จันทเทวี. พระราชาไม่มีพระราชโอรส ที่จะครองเมืองต่อจากพระองค์ จึงโปรดให้พระนางจันทเทวี ทำพิธีขอพระโอรส จากเทพเจ้า. พระนางจันทเทวี จึงทรงอธิษฐานว่า "ข้าพเจ้าได้รักษาศีลบริสุทธิ์ตลอดมา ขอให้บุญกุศลนี้ บันดาลให้ข้าพเจ้ามีโอรสเถิด". ด้วยอานุภาพแห่งศีลบริสุทธิ์ พระนางจันทเทวีทรงครรภ์ และประสูติพระโอรส สมดังความปรารถนา. พระโอรส มีรูปโฉมงดงามยิ่งนัก. ทั้งพระราชา พระมเหสี และประชาชนทั้งหลาย มีความยินดีเป็นที่สุด. พระราชาจึงตั้งพระนามโอรสว่า "เตมีย์" แปลว่า เป็นที่ยินดีของคนทั้งหลาย. บรรดาพราหมณ์ ผู้รู้วิชาทำนายลักษณะบุคคล ได้กราบทูลพระราชาว่า "พระโอรสองค์นี้ มีลักษณะประเสริฐ เมื่อเติบโตขึ้น จะได้เป็นพระราชาธิราช ของมหาทวีปทั้งสี่. พระราชาทรงยินดี เป็นอย่างยิ่ง และทรงเลือกแม่นม ที่มีลักษณะดีเลิศ ตามตำราจำนวน ๖๔ คน เป็นผู้ปรนนิบัติเลี้ยงดู พระเตมีย์กุมาร.
 
     วันหนึ่ง พระราชา ทรงอุ้มพระเตมีย์ไว้บนตัก ขณะที่กำลังพิพากษาโทษ ผู้ร้าย ๔ คน พระราชาตรัสสั่ง ให้เอาหวาย ที่มีหนามแหลมคม มาเฆี่ยนผู้ร้ายคนหนึ่ง แล้วส่งไปขังคุก ให้เอาฉมวกแทงศีรษะ ผู้ร้ายคนที่สาม และให้ใช้หลาว เสียบผู้ร้ายคนสุดท้าย. พระเตมีย์ซึ่งอยู่บนตักพระบิดา ได้ยินคำพิพากษาดังนั้น ก็มีความตกใจ หวาดกลัว ทรงคิดว่า "ถ้าเราโตขึ้น ได้เป็นพระราชา เราก็คงต้องตัดสินโทษ ผู้ร้ายบ้าง และคงต้องทำบาปเช่นเดียวกันนี้ เมื่อเราตายไป ก็จะต้องตกนรก อย่างแน่นอน". เนื่องจากพระเตมีย์ เป็นผู้มีบุญ จึงรำลึกชาติได้ และทรงทราบว่า ในชาติก่อน ได้เคยเป็นพระราชาครองเมือง และได้ตัดสินโทษผู้ร้ายอย่างเดียวกันนี้ เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ จึงต้องตกนรกอยู่ถึง ๗,๐๐๐ ปี ได้รับความทุกข์ทรมาน เป็นอันมาก พระเตมีย์ ทรงมีความหวาดกลัวอย่างยิ่ง ทรงรำพึงว่า "ทำอย่างไรหนอ เราจึงจะไม่ต้องทำบาป และไม่ต้องตกนรกอีก".
 
     ขณะนั้น เทพธิดา ที่รักษาเศวตฉัตร ได้ยินคำรำพึงของพระเตมีย์ จึงปรากฏกายให้พระองค์เห็น และแนะนำพระเตมีย์ว่า "หากพระองค์ทรงหวั่น ที่จะกระทำบาป ทรงหวั่นเกรงว่า จะตกนรก ก็จงทำเป็นหูหนวก เป็นใบ้ และเป็นง่อยเปลี้ย อย่าให้ชนทั้งหลายรู้ว่า พระองค์เป็นคนฉลาด เป็นคนมีบุญ พระองค์จะต้องมีความอดทน ไม่ว่าจะได้รับความเดือดร้อนอย่างใด ก็ต้องแข็งพระทัย ต้องทรงต่อสู้กับพระทัยตนเองให้จงได้ อย่ายอมให้สิ่งหนึ่งสิ่งใด มาชักจูงใจพระองค์ไปจากหนทาง ที่พระองค์ตั้งพระทัยไว้."
 
     พระเตมีย์กุมาร ได้ยินเทพธิดาว่าดังนั้น ก็ดีพระทัยเป็นอย่างยิ่ง จึงทรงตั้งจิตอธิษฐานว่า "ต่อไปนี้ เราจะทำตนเป็นคนใบ้ หูหนวก และง่อยเปลี้ย ไม่ว่าจะมีเรื่องอันใดเกิดขึ้น เราก็จะไม่ละความตั้งใจเป็นอันขาด". นับแต่นั้นมา พระเตมีย์ก็ทำพระองค์ เป็นคนหูหนวก เป็นใบ้ และเป็นง่อย ไม่ร้อง ไม่พูด ไม่หัวเราะ และไม่เคลื่อนไหวร่างกายเลย. พระราชาและพระมเหสี ทรงมีความวิตกกังวล ในอาการของพระโอรส ตรัสสั่งให้พี่เลี้ยง และแม่นมทดลอง ด้วยอุบายต่าง ๆ เช่น ให้อดนม พระเตมีย์ก็ทรงอดทน ไม่ร้องไห้ ไม่แสดงความหิวโหย ครั้นพระราชาให้พี่เลี้ยง เอาขนมล่อ พระเตมีย์ก็ไม่สนพระทัย นิ่งเฉยตลอดเวลา. พระราชาทรงมีความหวังว่า "พระโอรสคงไม่ได้หูหนวก เป็นใบ้ และง่อยเปลี้ยจริง" จึงโปรดให้ทดลอง ด้วยวิธีต่าง ๆ เป็นลำดับ. เมื่ออายุ 2 ขวบ เอาผลไม้มาล่อ พระกุมารก็ไม่สนพระทัย. อายุ ๔ ขวบ เอาของเสวย รสอร่อยมาล่อ พระกุมารก็ไม่สนพระทัย. อายุ ๕ ขวบ พระราชาให้เอาไฟมาขู่ พระเตมีย์ก็ไม่แสดงความตกใจกลัว. อายุ ๖ ขวบ เอาช้างมาขู่. อายุ ๗ ขวบ เอางูมาขู่ พระเตมีย์ก็ไม่หวาดกลัว ไม่ถอยหนี เหมือนเด็กอื่น ๆ. พระราชาทรงทดลอง ด้วยวิธีการต่าง ๆ เรื่อยมา จนพระเตมีย์อายุได้ ๑๖ พรรษา ก็ไม่ได้ผล. พระเตมีย์ยังทรงทำเป็นหูหนวก ทำเป็นใบ้ และไม่เคลื่อนไหวเลย ตลอดเวลา ๑๖ ปี. ในที่สุด พระราชาก็ให้หาบรรดาพราหมณ์ และที่ปรึกษาทั้งหลายมา และตรัสถามว่า "พวกเจ้าเคยทำนายว่า ลูกเราจะเป็นผู้มีบุญ เป็นพระราชาผู้ยิ่งใหญ่ เมื่อลูกเรามีอาการ เหมือนคนหูหนวก เป็นใบ้ และเป็นง่อยเช่นนี้ เราจะทำอย่างไรดี". พราหมณ์และที่ปรึกษา พากันกราบทูลว่า "เมื่อตอนที่ประสูตินั้น พระโอรส มีลักษณะเป็นผู้มีบุญ แต่บัดนี้ เมื่อได้กลับกลายเป็นคนหูหนวก เป็นใบ้ เป็นง่อย ก็กลายเป็นกาลกิณี จะทำให้บ้านเมือง และประชาชนเดือดร้อน ขอให้พระองค์สั่ง ให้นำพระโอรสไปฝัง ที่ป่าช้าเถิดพะย่ะค่ะ จะได้สิ้นอันตราย". พระราชาได้ยินดังนั้น ก็ทรงเศร้าพระทัย ด้วยความรักพระโอรส แต่ก็ไม่อาจแก้ไขอย่างไรได้ เพราะเป็นห่วงบ้านเมือง และประชาชน จึงต้องทรงทำตามคำกราบทูล ของพราหมณ์และที่ปรึกษาทั้งหลาย. พระนางจันทเทวี ทรงทราบว่า พระราชาให้นำพระโอรส ไปฝังที่ป่าช้า ก็ทรงร้องไห้คร่ำครวญว่า "พ่อเตมีย์ลูกรักของแม่ แม่รู้ว่า ลูกไม่ใช่คนง่อยเปลี้ย ไม่ใช่คนหูหนวก ไม่ใช่คนใบ้ ลูกอย่าทำอย่างนี้เลย แม่เศร้าโศกมาตลอดเวลา ๑๖ ปีแล้ว ถ้าลูกถูกนำไปฝัง แม่คงเศร้าโศกจนถึงตายได้นะลูกรัก".
 
     พระเตมีย์ ได้ยินดังนั้น ก็ทรงสงสาร พระมารดาเป็นอันมาก ทรงสำนึกในพระคุณ ของพระมารดา แต่ในขณะเดียวกัน ก็ทรงรำลึกว่า "พระองค์ตั้งพระทัยไว้ว่า "จะไม่ทำการใด ที่จะทำให้ต้องไปสู่นรกอีก จะไม่ทรงยอมละความตั้งใจ ที่จะทำเป็นใบ้ หูหนวก และเป็นง่อย จะไม่ยอมให้สิ่งใด มาชักจูงใจพระองค์ ไปจากหนทาง ที่ทรงวางไว้แล้วนั้นเป็นอันขาด." พระราชาจึงตรัสสั่ง ให้นายสารถีชื่อ สุนันทะ นำพระเตมีย์ขึ้น รถเทียมม้า พาไปที่ป่าช้าผีดิบ ให้ขุดหลุม แล้วเอาพระเตมีย์โยนลงไปในหลุม เอาดินกลบเสียให้ตาย. นายสุนันทะ จึงทรงอุ้มพระเตมีย์ ขึ้นรถเทียมม้า พาไปที่ป่าช้าผีดิบ. เมื่อไปถึงป่าช้า นายสุนันทะก็เตรียมขุดหลุม จะฝังพระเตมีย์ พระเตมีย์กุมาร ประทับอยู่บนราชรถ ทรงรำพึงว่า "บัดนี้เราพ้นจากความทุกข์ว่า จะต้องเป็นพระราชา พ้นความทุกข์ว่า จะต้องทำบาป เราได้อดทนมาตลอดเวลา ๑๖ ปี ไม่เคยเคลื่อนไหวร่างกายเลย เราจะลองดูว่า เรายังคงเคลื่อนไหวได้หรือไม่ มีกำลังร่างกาย สมบูรณ์หรือไม่" รำพึงแล้ว พระเตมีย์ก็เสด็จลงจากราชรถ ทรงเคลื่อนไหวร่างกาย ทดลองเดินไปมา ก็ทราบว่า ยังคงมีกำลังร่างกายสมบูรณ์ เหมือนคนปกติ จึงทดลองยกราชรถ ก็ปรากฏว่า ทรงมีกำลังยกราชรถขึ้นกวัดแกว่งได้ อย่างง่ายดาย จึงทรงเดินไปหา นายสุนันทะ ที่กำลังก้มหน้าก้มตา ขุดหลุมอยู่. พระเตมีย์ตรัสถามนายสุนันทะว่า "ท่านเร่งรีบขุดหลุมไปทำไม" นายสุนันทะตอบคำถาม โดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นดูว่า "เราขุดหลุม จะฝังพระโอรส ของพระราชา เพราะพระโอรสเป็นง่อย เป็นใบ้ และหูหนวก พระราชาตรัสสั่งให้ฝังเสีย จะได้ไม่เป็นอันตรายแก่บ้านเมือง". พระเตมีย์จึงตรัสว่า "เราไม่ได้เป็นใบ้ ไม่ได้หูหนวก และไม่ง่อยเปลี้ย จงเงยขึ้นดูเราเถิด. ถ้าท่านฝังเราเสีย ท่านก็จะประพฤติสิ่งที่ไม่เป็นธรรม". นายสารถีเงยขึ้นดู เห็นพระเตมีย์ก็จำไม่ได้ จึงถามว่า "ท่านเป็นใคร ท่านมีรูปร่าง งามราวกับเทวดา ท่านเป็นเทวดาหรือ หรือว่าเป็นมนุษย์ ท่านเป็นลูกใคร ทำอย่างไร เราจึงจะรู้จักท่าน". พระเตมีย์ตอบว่า "เราคือเตมีย์กุมาร โอรสพระราชา ผู้เป็นนายของท่าน ถ้าท่านฝังเราเสีย ท่านก็จะได้ชื่อว่า ทำสิ่งที่ไม่เป็นธรรม พระราชาเปรียบเหมือนต้นไม้ ตัวเราเปรียบเหมือนกิ่งไม้ ท่านได้อาศัยร่มเงาไม้ ถ้าท่านฝังเราเสีย ท่านก็ได้ชื่อว่า ทำสิ่งที่ไม่เป็นธรรม".
 

 

     นายสารถี ยังไม่เชื่อว่า เป็นพระกุมารที่ตนพามา. พระเตมีย์ทรงประสงค์ จะให้นายสารถีเชื่อ จึงตรัสอธิบาย ให้เห็นว่า หากนายสารถีจะฝังพระองค์ ก็ได้ชื่อว่าทำร้ายมิตร ทรงอธิบายว่า "ผู้ไม่ทำร้ายมิตร จะไปที่ได ก็มีคนคบหามาก จะไม่อดอยาก ไปที่ใดก็มีผู้สรรเสริญบูชา โจรจะไม่ข่มเหง พระราชาไม่ดูหมิ่น จะเอาชนะศัตรูทั้งปวงได้ ผู้ไม่ทำร้ายมิตร เมื่อมาถึงบ้านเรือนของตน หมู่ญาติและประชาชน จะพากันชื่นชมยกย่อง ผู้ไม่ทำร้ายมิตร ย่อมได้รับการสักการะ เพราะเมื่อสักการะท่านแล้ว ย่อมได้รับการสักการะตอบ เมื่อเคารพบูชาท่านแล้ว ย่อมได้รับการเคารพตอบ ผู้ไม่ทำร้ายมิตร ย่อมรุ่งเรือง เหมือนกองไฟรุ่งโรจน์ ดังเทวดา เป็นผู้มีมิ่งขวัญสิริมงคล ประจำตนอยู่เสมอ ผู้ไม่ทำร้ายมิตร จะทำการใดก็สำเร็จผล โคจะมีลูกมาก หว่านพืชลงในนา ก็จะงอกงาม แม้จะพลัดตกเหว ตกจากภูเขา ตกจากต้นไม้ ก็จะไม่เป็นอันตราย ผู้ไม่ทำร้ายมิตร ศัตรูไม่อาจข่มเหงได้ เพราะเป็นผู้มีมิตรมาก เปรียบเหมือนต้นไทรใหญ่ที่มีราก ติดต่อพัวพัน ลมแรงก็ไม่อาจทำร้ายได้. "

 
     นายสารถี ได้ยินพระเตมีย์ตรัส ยิ่งเกิดความสงสัย จึงเดินมาดูที่ราชรถ ก็ไม่เห็นพระกุมาร ที่ตนพามา ครั้นเดิน กลับมาพินิจพิจารณา พระเตมีย์อีกครั้งก็จำได้ จึงทูลว่า "ข้าพเจ้า จะพาพระองค์กลับวัง ขอเชิญเสด็จกลับไป ครองพระนครเถิด." พระเตมีย์ตรัสตอบว่า" เราไม่กลับไปวังอีกแล้ว เราได้ตัดขาดจากความยินดี ในสมบัติทั้งหลาย เราได้ตั้งความอดทนมา เป็นเวลาถึง ๑๖ ปี. อันราชสมบัติ ทั้งพระนครและความสุข ความรื่นเริงต่าง ๆ เป็นของน่าเพลิดเพลิน แต่เราไม่ปรารถนา จะหลงอยู่ในความเพลิดเพลินนั้น ไม่ปรารถนาจะกระทำบาปอีก เราจะไม่ก่อเวรให้เกิดขึ้นอีกแล้ว บัดนี้เราพ้นจากภาระนั้นแล้ว เพราะพระบิดา พระมารดา ปล่อยเราให้พ้นจากราชสมบัติมาแล้ว เราพ้นจากความหลงใหล ในกิเลสทั้งหลาย เราจะขอบวช อยู่ในป่านี้แต่ลำพัง เราต่อสู้ได้ชัยชนะ ในจิตใจของเราแล้ว." เมื่อตรัสดังนั้น พระเตมีย์กุมาร มีความชื่นชมยินดีอย่างยิ่ง. รำพึงกับพระองค์เองว่า "ผู้ที่ไม่ใจเร็วด่วนได้ ผู้ที่มีความอดทน ย่อมได้รับผลสำเร็จด้วยดี" นายสุนันทะสารถี ได้ฟังก็เกิดความยินดี ทูลพระเตมีย์ว่า "จะขอบวชอยู่กับพระเตมีย์ในป่า แต่พระองค์เห็นว่า หากนายสารถี ไม่กลับไปเมือง จะเกิดความสงสัยว่า พระองค์หายไปไหน. ทั้งนายสารถี ราชรถ เครื่องประดับทั้งปวง ก็สูญหายไป. ควรที่นายสารถี จะนำสิ่งของทั้งหลาย กลับไปพระราชวัง ทูลเรื่องราวให้พระราชาทรงทราบเสียก่อน แล้วจึงค่อยกลับมาบวช เมื่อหมดภาระ.
 
     นายสุนันทะ จึงกลับไปกราบทูลพระราชาว่า "พระเตมีย์กุมาร มิได้วิกลวิการ แต่ทรงมีรูปโฉมงดงามและ ตรัสได้ไพเราะ เหตุที่แสร้งทำเป็นคนพิการ ก็เพราะไม่ปรารถนาจะครองราชสมบัติ ไม่ปรารถนาจะก่อ เวรทำบาปอีกต่อไป." เมื่อพระราชาและพระมเหสี ได้ทรงทราบ ก็ทรงปลื้มปิติยินดี โปรดให้จัดกระบวน ไปรับพระเตมีย์กลับจากป่า.
 
     ขณะนั้น พระเตมีย์ทรงผนวชแล้ว ประทับอยู่ในบรรณศาลา ซึ่งเทวดาเนรมิตไว้ให้. เมื่อพระบิดา พระมารดาเสด็จไปถึง พระเตมีย์จึงเสด็จมาต้อนรับ ทักทายปราศรัยกัน ด้วยความยินดี. . พระราชาเห็นพระโอรส ผนวชเป็นฤาษี เสวยใบไม้ลวกเป็นอาหาร และประทับอยู่ลำพังในป่า จึงตรัสถามว่า "เหตุใด จึงยังมีผิวพรรณผ่องใส ร่างกายแข็งแรง." พระเตมีย์ตรัสตอบพระบิดาว่า "อาตมามีร่างกายแข็งแรง ผิวพรรณผ่องใส เพราะไม่ต้องเศร้าโศกถึงอดีต ไม่ต้องรอคอยอนาคต อาตมาใช้ชีวิต ให้เป็นไปตามที่สมควรในปัจจุบัน คนพาลนั้น ย่อมซูบซีด เพราะมัวโศกเศร้าถึงอดีต เพราะมัวรอคอยอนาคต." พระราชาตรัสตอบว่า "ลูกยังหนุ่มยังแน่น แข็งแรง จะมามัวอยู่ทำอะไรในป่า กลับไปบ้านเมืองเถิด กลับไปครองราชสมบัติ มีโอรสธิดา เมื่อชราแล้วจึงค่อยมาบวช.
 
     "พระเตมีย์ ตรัสตอบว่า "การบวชของคนหนุ่ม ย่อมเป็นที่สรรเสริญ ใครเล่าจะนอนใจได้ว่า ยังเป็นหนุ่ม ยังอยู่ไกลจากความตาย อายุคนนั้นสั้นนัก เหมือนอายุของปลา ในเวลาที่น้ำน้อย." พระราชาตรัสขอให้พระเตมีย์ กลับไปครองราชสมบัติ ทรงกล่าวชักชวน ให้นึกถึงความสุขสบายต่าง ๆ. พระเตมีย์จึงตรัสตอบว่า "วันคืนมีแต่จะล่วงเลยไป ผู้คนมีแต่จะแก่ เจ็บและตาย จะเอาสมบัติไปทำอะไร ทรัพย์สมบัติ และความสุขทั้งหลาย เอาชนะความตายไม่ได้ อาตมาพ้นจากความผูกพันทั้งหลายแล้ว ไม่ต้องการทรัพย์สมบัติอีกแล้ว." เมื่อพระราชาได้ยินดังนั้น จึงเห็นประโยชน์อันใหญ่ยิ่ง ในการออกบวช ทรงประสงค์ที่ จะละทิ้งราชสมบัติออกบวช. พระมเหสี และเสนาข้าราชบริพารทั้งปวง รวมทั้งบรรดา ประชาชนทั้งหลาย ในเมืองพาราณสี ก็พร้อมใจกันออกบวช บำเพ็ญเพียรโดยทั่วหน้ากัน เมื่อตายไปก็ได้ไปเกิดในสวรรค์ พ้นจากความผูกพัน ในโลกมนุษย์ ทั้งนี้เป็นด้วยพระเตมีย์กุมาร ทรงมีความอดทน มีความตั้งใจอันมั่นคง แน่วแน่ ในการที่ไม่ก่อเวรทำบาป ทรงมุ่งมั่นอดทน จนประสบผลสำเร็จดังที่หวัง เหมือนดังที่ทรงรำพึงว่า "ผู้ที่ไม่ใจเร็วด่วนได้ ผู้ที่มีความอดทน ย่อมได้รับผลสำเร็จด้วยดี "
 
คติธรรม : บำเพ็ญเนกขัมมบารมี
เมื่อมีประสงค์ในสิ่งใด ก็สมควรมุ่งมั่นตั้งใจ กระทำตามความมุ่งหมายนั้นอย่างหนักแน่น อดทนอย่างเพียรพยายามเป็นที่สุด และความพากเพียรอันเด็ดเดี่ยวแน่วแน่นั้น ย่อมนำบุคคลนั้นไปสู่ความสำเร็จ อันยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง
 
คัดลอกจากเว็บไซด์   http://www.learntripitaka.com/
 หน้าแรก  ประวัติวัด  แผนที่ตั้ง ถาวรวัตถุ  ภาพจิตรกรรมฝาผนัง  ลำดับเจ้าอาวาส   จำนวนพระสงฆ์   วันสำคัญทางศาสนา   วันพระตามปักษ์
ตารางแสดงธรรม  ตารางอบรมกรรมฐาน  พุทธศาสนาวันอาทิตย์  หนังสือธรรมะ  แฟ้มภาพ  บอร์ดสนทนา
© Copyright 2004 Watsomanas.com All Right Reserved.